Suzuki Jimny ไม่ได้เป็นแค่รถ..แต่มันคือไลฟ์สไตล์

จากกระแสความแรงของรถไซส์เล็กอย่างซูซูกิ จิมนี่ (Jimny) และการนำเสนอข่าวสารที่หลากหลายของสื่อที่กระหน่ำเต็มพื้นที่โซเชียลมีเดีย ทำให้ AutolikeTV ตั้งคำถามและหาคำตอบว่า “ทำไม จิมนี่ คันเล็กๆ คันนี้ถึงได้สร้างกระแสความน่าสนใจได้ขนาดนี้!” และวันนี้เรามีคำตอบนั้นแล้ว มาติดตามกันว่าจะคิดเหมือนกับผู้อ่านในด้านไหนกันบ้าง
Jimny 1970
ก่อนอื่นขอย้อนกลับไปในจุดเริ่มต้นกันก่อน ซูซูกิ จิมนี่ (Jimny) เป็นรถในกลุ่มอเนกประสงค์ขนาดเล็กแต่มีสมรรถนะสูงมาตั้งแต่เริ่มแรก โดยรุ่นที่ 1 เกิดขึ้นเมื่อปี 1970 ถูกสร้างให้เป็นรถออฟโรดที่พร้อมลุยได้ในทุกเส้นทางเช่นเดียวกับรถจิ๊ปที่ทหารใช้งานกัน ซึ่งในยุคนั้นซูซูกิได้ซื้อกิจการของ Hopestar มาผลิตรถในรุ่น Hopestar ON360 ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นซูซูกิ จิมนี่ ในภายหลัง ในตอนนั้นยังใช้เครื่องยนต์ขนาด 400 ซีซี., 500 ซีซี. และ 800 ซีซี. เกียร์ธรรมดา 4 สปีด และเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Full Time
Jimny 1975
Jimny 1977
จากนั้นในปี 1981 ได้มีการเปิดตัวรุ่นที่ 2 ซึ่งมีความหลากหลายของตัวถังมากขึ้น รวมทั้งมีระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ มีเครื่องยนต์ให้เลือกตั้งแต่ขนาด 400 ซีซี. ไปจนถึงขนาด 1,900 ซีซี. เกียร์ธรรมดา 4 สปีด และพัฒนาเกียร์ธรรมดา 5 สปีดเพิ่มขึ้นมา ที่สำคัญยังได้พัฒนาเกียร์อัตโนมัติแบบ 3 สปีด มาใช้งานอีกด้วย
Jimny 1981
Jimny 1984 หรือ Caribian ในเมืองไทย
หากใครจำได้จะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีในชื่อว่า “ซูซูกิ คาริบเบียน” (Caribian) นั่นเอง แฟนๆ ออฟโรดสายลุยจะรู้จักสมรรถนะความอึดของเจ้าคาริบเบียนนี้กันเป็นอย่างดี โดยในตอนนั้น ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย หรือ สยามอินเตอร์เนชั่นแนล คอร์เปอเรชั่น (ชื่อเดิมในตอนนั้น) จำหน่ายได้เป็นจำนวนมาก เพราะสมรรถนะและระบบขับเคลื่อนที่ตอบโจทย์การใช้งาน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเซกเมนต์ใหม่ของรถอเนกประสงค์ดัดแปลง เนื่องจากเดิมทีคาริบเบียนเป็นรถแบบรถจิ๊ปสองตอนด้านหลังเป็นกระบะ แต่มีการต่อเติมหลังคาหลายเป็นแบบสเตชั่นวากอน และมีการจำหน่ายมาอย่างต่อเนื่องถึงปี 2005 และเงียบหายไปจากตลาดในไทย
Jimny 1998
แต่ในต่างประเทศ จิมนี่ รุ่นที่ 3 ปี 1998 ยังคงเป็นรถที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักเดินทาง ผู้ชื่นชอบการผจญภัย อย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงตัวถังให้เป็นแบบเอสยูวี 2 ประตู และยังคงมีตัวถังแบบกระบะอยู่เช่นเคย ใช้เครื่องยนต์ขนาด 700 ซีซี., 1,300 ซีซี. และ 1,500 ซีซี. ใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แต่ในช่วงหลังความต้องการใช้รถเพื่อผจญภัยแบบบุกป่าฝ่าดงน้อยลง จึงต้องมีการวางแผนปรับปรุงผลิตภัณฑ์กันยกใหญ่ เพื่อให้เกิดความคุ้มทุนและยังคงสร้างความนิยมได้อย่างในอดีต
ล่าสุดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2018 มีข่าวออกมาเป็นระยะว่า จิมนี่ รุ่นใหม่ เตรียมเปิดตัวสู่ตลาดโลกอีกครั้ง และสร้างกระแส Talk of The Town มาถึงวันนี้ โดยเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2561 ได้มีการเปิดเผยคลิปโปรโมทอย่างเป็นทางการ รวมถึงเปิดตัวและเผยสเปค ราคา มาให้แฟนๆ ที่รอคอยมีความตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก ซึ่งจิมนี่ รุ่นที่ 4 นี้ พกพาความทันสมัยและเทคโนโลยีความปลอดภัยมาไว้เต็มคัน แต่รูปแบบตัวถังยังคงให้กลิ่นอายของรถอเนกประสงค์สายลุยเอาไว้อย่างครบถ้วน และทำให้นึกถึงตัวถังของคาริบเบียนอยู่พอสมควร
เอาล่ะ! มาพูดถึง ซูซูกิ จิมนี่ รุ่นปี 2018 เจเนอเรชั่นที่ 4 กันบ้าง…จิมนี่ ใหม่ มากัน 2 รุ่น คือ jimny และ Sierra มีราคา 1,458,000 – 1,741,000 เยน หรือประมาณ 430,000 – 520,000 บาท ในรุ่น Jimny ส่วนในรุ่น Sierra ราคา 1,760,000 – 2,019,600 เยน หรือประมาณ 520,000 – 590,000 บาท และมีการพัฒนาโครงสร้างตัวถังให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ปรับปรุงจุดเชื่อมต่อระหว่างตัวถัง และปรับระบบช่วงล่างเพื่อการควบคุมที่ดียิ่งขึ้น
โดย Jimny 2018 ติดตั้งขุมพลังเบนซิน เทอร์โบ แบบ 3 สูบ ขนาด 658 ซีซี. 64 แรงม้า แรงบิด 96 นิวตันเมตร เกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด มีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ระดับ 13-16 กิโลเมตรต่อลิตร
ส่วน Jimny Sierra ติดตั้งเครื่องยนต์คนละรุ่น เป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 1,500 ซีซี. พละกำลังสูงสุด 102 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตร มีเกียร์ทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เช่นเดียวกับ Jimny 2018 และมีอัตราสิ้นเปลืองราว 13-15 กิโลเมตรต่อลิตร
และทั้งสองรุ่นติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part Time (สามารถเลือกระบบการขับเคลื่อนได้) พร้อมโหมด Low Range และติดตั้ง Limited Slip แบบควบคุมด้วยไฟฟ้า และปลอดภัยสูงสุดด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย Suzuki Safety ที่จัดเต็มสุดคุ้มไม่ว่าจะเป็น ระบบป้องกันการชนจากด้านหน้า, ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าออกตัว, ระบบไฟสูงอัตโนมัติ, ระบบป้องกันรถออกนอกเลน, ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งแบบไม่ตั้งใจ ซึ่งระบบที่ยกตัวอย่างมานี้จะถูกควบคุมด้วยเซนเซอร์ที่ติดตั้งเอาไว้บริเวณหลังกระจกมองหลัง ไปชมคลิปกัน ยาวหน่อย แต่ญี่ปุ่นทำละเอียดมาก
ส่วนโอกาสที่จะนำมาจำหน่ายในไทย ต้องถือว่าค่อนข้างหนักใจ แน่นอนว่าเครื่องยนต์ 658 ซีซี. ตัดออกไป คนไทยไม่ค่อยมั่นใจกับเครื่องเล็กแบบนี้ ถ้าจะจำหน่ายต้องเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1,500 ซีซี. และหากนำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งคัน ราคาน่าจะทะลุไปล้านปลายๆ หรือหากเป็นการนำเข้าจากอินโดนีเซียราคาก็ยังคงสูงอยู่ดี นอกจากจะมีการผลิตในประเทศไทย ราคายังคงพอมีลุ้นและคุ้มค่ากับการลงทุนมากกว่า..แต่ แหม..รถดีขนาดนี้ น่าเสียดายนะถ้าคนไทยไม่มีโอกาสได้ใช้งาน
แต่หากพูดถึงเรื่องของความน่าใช้งานต้องบอกว่ามันช่างเหมาะมือและเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันจริงๆ เพราะด้วยตัวถังขนาดไม่ใหญ่มาก มีความคล่องตัว สีตัวถังมีให้เลือกหลากหลาย สามารถนำมาตกแต่งในสไตล์ของรถออฟโรดและซิตี้คาร์ได้อย่างหลากหลาย เครื่องยนต์ให้พละกำลังที่เพียงพอ แม้ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจกันดีกว่า ให้สมรรถนะที่เพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้ว ไปได้ทุกที่ที่มีทาง เพราะในญี่ปุ่นเองใช้รถเครื่องยนต์เล็กในกลุ่ม K-Car มาอย่างยาวนาน อีกทั้งรถรูปทรงแบบนี้คงไม่มีใครเอาไปขับแบบสปอร์ตคาร์แน่นอน
นอกจากนี้ โดยเฉพาะกับคนใช้ชีวิตในเมือง ต้องเจอกับฝนตก น้ำท่วม เป็นครอบครัวเดี่ยว และเป็นโสดกันเยอะ รถแบบนี้มีขนาดตัวถังและห้องโดยสารที่เพียงพอ ใช้งานได้อเนกประสงค์ เป็นรถที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันไม่แปลกที่ทำไมกระแสถึงได้แรงขนาดนี้..เราคิดแบบเดียวกันรึเปล่า? พูดเลยว่า ซูซูกิ จิมนี่ (Suzuki Jimny) รุ่นปี 2018 คันนี้ มันช่างเย้ายวนหัวใจจริงๆ ถ้าผลิตในไทยแล้วมีราคาพอๆ กับที่จำหน่ายในญีปุ่นนะ รับรองว่าขายดีไม่แพ้ สวิฟท์ แน่นอน..อยากตะโกนดังๆ ว่า “อยากได้” จริงๆ.
ติดตามข่าวสารด้านยานยนต์ “ออโต้ไลค์ ทีวี” ได้ทาง ททบ. 5 ทุกวันจันทร์ เวลา 13.30-14.00 น.
หรือได้ทางออนไลน์ www.autoliketv.com
ทางเฟสบุ๊ค www.facebook.com/Autoliketv
และได้ทาง www.youtube.com/AutoLikeTV